[fic Holmes] The secret of Watson's diary [2]
....สิ่งที่เรามองเห็นนั้น...บางทีอาจจะเป็นภาพลวงตาก็เป็นได้... เพราะประสาทสัมผัสทั้ง5นั้น...ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่อลวงเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา....
ผู้เข้าชมรวม
241
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กรุณาอย่าลืมว่าคอมเม้นต์คือแหล่งพลังงานสำคัญของนักแต่งฟิคนะคะ^^
Title : The secret of Watson's diary [2]Warning Yaoi!!
Author : ++YuHankunG ++ (gloomygirl_loveless@hotmail.com yuhankung@gmail.com)
Fandom : Shrelock Holmes
Pairing : watson x holmes
Rate : PG-15
Category : Drama
....สิ่งที่เรามองเห็นนั้น...บางทีอาจจะเป็นภาพลวงตาก็เป็นได้...
เพราะประสาทสัมผัสทั้ง5นั้น...ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่อลวงเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา....ด้วยเหตุนี้...เมื่อถึงเวลาต้องเลือก....จงเชื่อในความรู้สึกของตนเองเถิด...
ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าจับปากกาขึ้นมาเพื่อเป็นบทต่อของบันทึกฉบับนี้
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกลังเลอยู่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ควรจะบันทึกเอาไว้หรือไม่
หากแต่การพลาดช่วงหนึ่งช่วงใดของนักสืบผู้ใหญ่ซึ่งผมได้อุทิศชีวิตเพื่อ
ชีวประวัติของเขานั้น ก็คงจะถือว่าความพยามนั้นเสียเปล่า
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะบันทึกเรื่องราวที่น่าเศร้านี้ต่อไปโดยที่ตั้งใจ
เอาไว้แล้วว่าส่วนหนึ่งของบันทึกเหล่านี้จะไม่ถูกเผยแพร่ออกไป
เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว ปี 18xx เป็นเวลา 5 ปีให้หลังจากการสูญเสีย
ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างชืดชาต่อเหตุการณ์
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีโทรเลขฉบับหนึ่งถูกส่งมา มันจ่าหน้าเอาไว้ว่ามาจาก
สโมสรดาโอจินิส ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่ารู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่กำลังแกะซอง
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโฮล์มส์เป็นเวลาหลายปีนั้นคงทำให้ข้าพเจ้าตินิสัยกระหาย
ที่จะได้ปริศนามาให้ขบคิด ในระยะหลังมานี้แม้จะไม่มีเขาแต่
ข้าพเจ้าก็ยังคงพยามไขคดีต่างๆโดยอาศัยการอนุมานตามหลักของเขา
ซึ่งมันอาจจะบ้างไม่สำเร็จบ้างตามแต่ความสามารถที่ข้าพเจ้ามี
ข้าพเจ้าเปิดอ่านมันทันทีอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในกลับเขียนไว้ด้วยข้อความ
สั้นๆเพียงหกคำ ดังนี้
"เขาต้องการคุณ พบผมด่วน
M.H."
แม้จะไม่มีข้อความหรือจุดบ่งบอกว่ามันถูกส่งมาจากใครและเพื่อจุดประสงค์ใด
แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจเสียเหลือเกินว่ามันต้องเป็นของมิสเตอร์ ไมครอฟต์ โฮล์มส์
ผู้ชายเพียงคนเดียวที่โฮล์มส์ยกย่องว่าอยู่เหนือกว่าเค้าในลอนดอนแห่งนี้
ข้าพเจ้าจัดการเก็บจดหมายลงในลิ้นชักก่อนจะลั่นดาลเก็บมันเอาไว้ในลิ้นชัก
จากนั้นจึงไปลาแมรี่และลูกๆบอกว่าตนมีธุระด่วนต้องรีบไปที่ลอนดอน
จากนั้นก็ฝากร้านเอาไว้กับนายแพทย์ที่ประจำอยู่ที่คลินิกข้างๆ
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าจึงว่าจ้างรถม้าคันแรกที่ผ่านมาเพื่อ
มุ่งหน้ากลับไปยังลอนดอน
การเดินทางครั้งนี้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากเพราะใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่ชม.
ข้าพเจ้าก็มายืนอยู่ที่หน้าสโมสรแห่งนี้แล้ว ในขณะที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเข้าไปเลยดีหรือไม่
ก็มีเสียงทักมาจากรถม้าซึ่งเพิ่งแล่นมาจอดอยู่ด้านหลัง
"สวัสดีวัตสัน พวกเรารอคุณมานานแล้วขึ้นมาเถอะ" และแล้วก็เป็นดังที่ข้าพเจ้า
คาดโทรเลขฉบับนั้นถูกส่งมาจากพี่ชายของโฮล์มส์จริงๆเสียด้วย
บรรยากาศของการเดินทางในครั้งนี้ช่างต่างกับครั้งที่ผ่านๆมาระหว่างข้าพเจ้า
กับโฮล์มส์เสียเหลือเกิน เพราะตามปกตินั้นโฮล์มส์มักจะเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นตา
หรือไม่ก็ถามปัญหาเพื่อทดสอบความสมารถไปตลอดทาง แต่กับพี่ชายของเขา
นั้นมีแต่เพียงความเงียบเท่านั้น มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าพยายามที่จะเอ่ยปากถาม
เขาถึงสาเหตุที่ตนถูกเรียกตัวมา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดแค่เพียงเขาเหลือบมองมาเท่านั้น
คำพูดที่ต้องการจะว่ากล่าวออกไปกลับจุกอยู่ที่คอหอย
ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกกระวนกระวายกับความน่าอึดอัดเหล่านี้
ชายผู้ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางก็ได้เอ่ยปากขึ้นราวกับมองเห็นความคิดได้
"ผมคาดว่าคุณกำลังรู้สึกอึดอัดและมีคำถามมากมายอยากจะถามผมล่ะสิ
ต้องขอโทษด้วยจริงๆเพราะผมเป็นคนไม่ค่อยพูดจึงมักไม่เปิดประเด็นการสนทนา
ขึ้นมาก่อน แต่ในกรณีนี้ถ้าผมไม่เอ่ยอะไรทำลายความเงียบขึ้นมา
ก่อนละก็พวกเราคงไม่ได้สนทนากันสักนิดจนกระทั่งถึงที่หมายเป็นแน่"
ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าในส่วนนี้เขาเหมือนกับโฮล์มส์จริงๆ
หากแต่ถ้าเป็นโฮล์มส์คงไม่มานั่งสนใจหรอกว่าใครจะรุ้สึกยังไง
"เขาในโทรเลขหมายถึงโฮล์มส์ใช่มั๊ยครับ"
บางทีนี่อาจจะเป็นคำถามที่โง่ที่สุดในชีวิตนับสามกว่าปีที่ผ่านมาก็ก็เป็นได้
ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้เสียแล้วแต่ก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าเขา
อาจจะได้ปาฏิหาริย์ช่วยให้รอดชีวิต
"ใช่แล้ว"
หากข้าพเจ้าสังเกตเขาให้ละเอียดในตอนนั้นคงเห็นได้ถึงความแปลกใจ
ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยในแววตา ซึ่งเขาได้เอ่ยขึ้นมาในตอนหลังว่ารู้สึกประหลาดใจ
เล็กน้อยจริง "และธุระในครั้งนี้ก็เป็นตามที่เขียนไว้ในจดหมายนั่น" แต่ด้วยความ
ยินดีที่ได้รับคำยืนยันทำให้ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะสังเกตอาการเหล่านั้นแต่
กลับระดมคำถามรัวอย่างกับเด็กเพิ่งหัดพูด
"ถ้าเป้นอย่างนั้นก็แสดงว่าเขารอดชีวิตมาจากน้ำตกนั่น แล้วทำไม
ห้าปีมานี้ผมถึงไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลย แล้วที่ผ่านมาเขาหายไปไหน..."
ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะได้พูดจนจบก็ถูกขัดขึ้นจากชายผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"คำตอบของคำถามเหล่านั้นคุณจะทราบเองเมื่อได้พบกับเชอร์ล็อก คุณวัตสัน"
เขากล่าวก่อนจะเปิดประตูออกไป
และนั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าการเดินทางได้จบลงแล้ว ทันทีที่ประตูรถม้า
ถูกเปิดออกให้ได้ยลภาพเบื้องหน้าอันแสนตระการ คฤหาสน์สีขาวหลังโตถูกปลูก
อยู่ท่ามกลางป่าลึก เป็นความงดงามที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มาพบเจอ
"ผมคงต้องส่งคุณแค่นี้ล่ะคุณหมอ เพราะถ้าเจ้าเชอร์ล็อกมาเห็นเขาต้องไม่พอใจ
แน่ๆที่ผมพาคุณมาที่นี่ หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บที่น้ำตกนั่นทำให้เขาค่อนข้าง
จะอารมณ์รุนแรงกว่าที่เคยอยู่สักหน่อย"
"เขาได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?" ข้าพเจ้าเอ่ยทวนอย่างสงสัย
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขากลับขึ้นไปยังรถม้าเป็นสัญญาณ
ว่าจะไม่มีการตอบคำถามใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ
เดินเข้าไปด้านในของตัวคฤหาสน์ทันที
เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดินอันโอ่โถงแต่กลับดูเงียบเหงาวังเวงอย่างประหลาด
เสียงไวโอลินแสนคุ้นเคยที่ลอยมาตามลม ทำให้ข้าพเจ้าสามารถหาโฮล์มส์ได้ไม่ยากนัก
น่าแปลกที่ข้าพเจ้ารีบเร่งเสียจนเกิดเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วโดยไม่คำนงถึงมารยาทใดๆ
ทั้งสิ้นเพราะต้องการที่จะพบกับโฮล์มส์ให้เร็วที่สุดแต่กลับมาหยุดเอาเสียดื้อๆตรงหน้า
ประตูแกะสลักเพียงบานเดียวที่กั้นระหว่างเราทั้งสองเอาไว้
ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกกลัว ความหนาวยะเยือกพุ่งขึ้นมาจากบริเวณใดก็ไม่อาจทราบ
แต่มันกำลังกัดกินเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง อาการป่วยของโฮล์มส์เป็นอย่างไรกันแน
่ เพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ประตูแผ่บางเบื้องหน้านี้เปรียบได้กับหีบของแพนดอร่าที่หากเผลอไปเปิดมันเข้า
ก็จะเกิดภัยพิบัตินับไม่ถ้วน
ระหว่างที่ข้าเพจ้ากำลังชั่งใจอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งที่ดังมาจากอีกฝั่งของประตู
ก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นหมันไปโดยสิ้นเชิง
นั่นเป็นเสียงของโฮล์มส์ไม่ผิดแน่
"ถ้าแกมาถึงที่นี่แล้วก็เข้ามาสิ วัตสัน"
ใบหน้าของโฮล์มส์ประดับดับร้อยยิ้มจางที่ข้าพเจ้ามองแล้วรู้สึกสะเทือนใจ
เสียเหลือเกิน พลาดไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าอุทานในใจ สภาพของเขาในเวลานาน
ช่างน่าเวทนาสงสารอย่างที่สุดจริงๆ ภายในห้องที่กว้างใหญ่ หน้าต่างทุกบานต่าง
ถูกรูดม่านปิดเอาไว้จนแสงไม่สามารถส่องเข้าได้ดูจากฝุ่นที่จับอยู่สามารถบอกได้เลยว่า
หน้าต่างเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดมาเป็นเวลานานอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามเดือน
เป็นแน่ซึ่งนั่นคงเป็นธรรมดาของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าโศกกลับเป็นสุขภาพที่ดูเหมือนจะก้าวข้ามคำว่า
ทรุดโทรมไปไกลโข ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้ซูบซีดร่วงโรยด้วยอาการของการเจ็บไข้
ริมฝีบางบางแห้งแตกระแหง ข้อมือบางที่โอบซอสตราดิวาเรียสก็เหลือแต่เพียงผิวหนัง
ที่หุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น และดูเหมือนมันจะกระตุกอยู่น้อยๆ
บรรยากาศแห่งความสิ้นหวังอบอวลไปทั่วภายในห้องแห่งนั้น
"สภาพของกันดูแย่ขนาดนั้นเลยรึ วัตสัน" เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาของข้าพเจ้า
" อืม....สำหรับกันแล้ว กันเองก็คิดว่า มันน่าสมเพชมากพอดูเหมือนกันล่ะ
ไม่ต้องรอให้แกมามองกันด้วยสายตาแบบนั้นหรอก กันรู้ตัวกันเองดีว่าตอนนี้กันมีสภาพยังไง"
ภาพเบื้องหน้าทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นใบ้อย่างกะทันหัน จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
มีคำพูดมากมายเหลือเกินที่อยากบอกออกไป แต่การพบเจอที่แสนกะทันหันนี้
ทำให้ระบบความคิดของข้าพเจ้าสับสนจนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี จึงตอบออกไปได้แค่เพียง
"โฮล์มส์ แกหายไปไหนมาตั้งนาน รู้มั๊ยว่ากันรู้สึกยังไงน่ะ"
เมื่อกล่าวจบข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ปริ่มอยู่บริเวณขอบตา
จึงต้องรีบหันหน้าไปทางอื่นเสีย
"เพราะกันรู้น่ะสิว่าแกรู้สึกยังไง ตลอดหลายปีมานี้แกจึงไม่ได้ยินข่าวของกันเลย
ว่าแต่แกยังอยากรู้รึเปล่าว่ากันรอดออกมาจากน้ำตกนรกนั่นได้ยังไง" มันเป็นการหันเหหัว
เรื่องที่ชาญฉลาด เพราะไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดเรื่องนี้กันต่อไป
โฮล์มส์จึงได้เลี่ยงไปสนทนาในประเด็นอื่นแทน
"อ่า...แน่นอนโฮล์มส์"ข้าพเจ้ากล่าวก่อนที่ทรุดลงนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างเตาผิง
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวภายในห้อง
"เรื่องมันก็คือว่า อย่างที่แกเห็น มันยากมากที่จะปีนขึ้นมาจากเบื้องล่างของน้ำตกนั่น
แม้จะเป็นตัวกันเองก็ตาม แต่นั่นมันก็ในกรณีที่กันตกลงไปน่ะนะ" โฮล์มส์กล่าว
ก่อนจะขยับยิ้มเล็กน้อย
"แต่ที่กันเห็นมันไม่มีรอยเท้าของแกกลับมานี่นา"
ข้าพเจ้าเถียงเพราะจากสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ตกลงไปด้วย
"วัตสันที่รัก กันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่ารายละเอียดเพียงเล็กน้อยจะนำแกไปสู่
ความจริงที่ถูกปกปิดน่ะ รอยเท้าที่แกเห็นเดินคู่กันตรงไปยังน้ำตกเลยใช่หรือไม่
แกคิดว่าพวกกันจะยอมฆ่าตัวตายไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ แกพลาดจุดเล็กน้อย
นี่ไปแล้ว ขอซิก้าร์ให้กันที่วัตสัน แค่กๆ"
โฮล์มส์ไอออกมาพลางหอบจนตัวโยนสีหน้าของ
เขาดูไม่สู้ดีนักจนข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนตัวเข้าไปดูอาการของเขาใกล้ๆ
"ถอยออกไป ! ถอยไปเดี๋ยวนี้ ! ไปไกลๆเลย !"เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดซึ่ง
ข้าพเจ้ามักจะได้ยินในเวลาคับขันเท่านั้น "ถ้าขืนแกยังเข้ามาใกล้กันอีกแม้แต่นิดเดียว
กันจะเรียกคนให้มาลากตัวแกออกไป !!!"
"ทำไมล่ะ โฮล์มส์ แกกำลังไม่สบาย และกันเองก็เป็นหมอ
และกันก็คิดว่าแกกำลังต้องการหมอมาดูอาการด่วนอย่างที่สุดเลยด้วย!!"
"เพราะมันเป็นความต้องการของกัน เป็นไง แค่นี้พอมั๊ย?"
แม้แต่ในขณะที่สิ้นเรี่ยวแรงอย่างนี้เขาก็ยังแผลงฤทธิ์ได้อยู่ดี
"แต่กันอยากจะช่วยแก"
"แกช่วยกันมามากพอแล้วในฐานะหมอ"
"แต่นี่ในฐานะเพื่อนสนิท"
" นั่นยิ่งไม่จำเป็น กันไม่ได้ป่วย มันเป็นเพราะอากาศเฮงซวยนี่ต่างหากที่
ทำให้กันดูไม่ดี" แม้มันจะดูเป็นเหตุผลที่สิ้นคิดเพียงใดก็ตาม
แต่ถ้าหลุดออกมาจากปากของเชอร์ล็อก โฮลมส์แล้วล่ะคุณก็คงคิดเหมือนกัน
ว่ามันอาจจะจริงก็ได้
แต่ข้าพเจ้าในตอนนั้นกลับไม่เชื่อถือมัน เนื่องจากต้องการตรวจดูด้วยตัวเอง
ให้แน่ใจว่าอาการของเขาเป็นเช่นไรกันแน่ จึงไม่ฟังคำเตือนของเขา
และเลิกผ้าห่มหนาที่คลุมอยู่ออก
"หยุดเดี๋ยวนี้นะวัตสัน!" เขาตะตอกเสียงดังลั่นในขณะที่ข้าพเจ้าได
้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นขาของเขาพิการไปเสียแล้วข้างนึงอย่างไม่ต้องสงสัย
จากลักษณะกล้ามเนื้อที่ผิดปกตินั้น
"พระเจ้าช่วย!!!!" ข้าพเจ้าทำได้แค่เพียงอุทานออกมา
"เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ววัตสัน ! กลับไปเดี๋ยวนี้ ! แกละเมิดข้อตกลง
ที่มีไว้กับกัน และกันต้องการให้แกออกไปเดี๋ยวนี้!!!!" เขาตวาดข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียง
ที่เกรี้ยวกราดอย่างน่าตกใจ
"โฮล์มส์ขาแกมันยังมีทางรักษานะ ถ้าแกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องกันรับรอง
ว่าแกจะต้องกลับมาเดินได้เหมือนปกติแน่" ข้าพเจ้าพยามกล่าวเตือนสติเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนจะจากต้องจากไป เสียงร้องเมื่อครู่คงดังไปถึงด้านล่างและอีกไม่นาน
ข้าพเจ้าคงจะถูกคนของที่นี่ลากออกไปตามคำสั่งโฮล์มส์
"ยังมีคดีอีกมากมายที่รอแกกลับไปสะสางอยู่นะ แต่ถ้าแกจะยอมแพ้อยู่นี่ก็ตามใจแก"
ข้าพเจ้าตัดสินใจประชดเพื่อหวังว่ามันจะกระตุ้นเขาขึ้นมาจากสภาพหมดอาลัยตาย
อยากในตอนนี้
"แค่เดินงั้นหรือวัตสัน" เขาพึมพำออกมาเบาๆ " กันรู้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในสถานการณ์น
ี้ก็คือกันแค่กลับเดินได้ แต่กันจะไม่สามารถวิ่งหรือกระโดดได้อีกต่อไป
แล้วแกว่านักสืบที่ไม่สามารถจะไล่ตามจับคนร้ายได้เนี่ย จะยังเป็นนักสืบอยู่อีกรึเปล่าล่ะ"
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อนั้นทำให้ข้าพเจ้าหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดมากที่สุดออกไป
"ถ้าอย่างนั้น กันจะเป็นขาแทนแกเอง!!!!"
"เฮอะ" เขาเพียงแค่นเสียงก่อนจะมองมาที่ข้าพเจ้าอย่างสมเพช "แกก็เป็นอย่างนี้เสมอ
วัตสัน ความใจอ่อนของแกจะนำภัยมาให้ แกจะเป็นขาให้กันได้อย่างไรในเมื่อแกยังมีครอบครัว
มีลูกๆที่ต้องกลับไปดูแล"
ต้องยอมรับว่าคำพูดของเขาทำให้ข้าพเจ้าจนมุมจริงๆ แม้จะอยากร่วมทางไปกับเขาแค่ไหน
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถละทิ้งภาระที่แบกอยู่บนบ่าออกไปได้
"เอาเถอะ กันขอโทษที่พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่กันไม่อยากเห็นแกในสภาพแบบนี้อีก"
"นั่นแกต้องโทษความจุ้นจ้านของมิสเตอร์ไมครอฟต์นู่น
ที่ไปลากแกมาจนได้ถึงนี่ กันจะมีสภาพแบบไหนมันก็เรื่องของกัน แค่ก..แค่กกๆ
คดีของเรามันจบสิ้นลงแล้วและจะไม่มีคดีต่อไปอีก และเมื่อแกไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีก
ก็เชิญกลับไปซะ"
"ตกลงโฮล์มส์ กันจะไป ถ้าการที่กันอยู่มันทำให้แกรู้สึกไม่ดีนักล่ะก็"
โฮล์มส์นิ่งเงียบไม่ตอบคำราวกับจะบอกว่ามันจบลงแล้ว "แต่กันอยากให้รู้ว่ากัน
เป็นห่วงแกจากใจจริง ไม่ได้เป็นเพราะกันสงสารแก แต่เป็นเพราะกันรักแก ลาก่อน โฮล์มส์"
ข้าพเจ้ากล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนลูกบิดเพื่อก้าวออกไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งรั้งเอาไว้
"กันขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่แกวัตสัน การที่แกมากันรู้สึกดีใจมาก
แกจะมาเยี่ยมกันก็ได้ถ้าแกสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เมียแก
กันยินดีจะเป็นเพื่อนคุยให้แกได้เสมอตราบเท่าที่แกไม่เข้ามายุ่งเรื่องของกัน"
ความมืดสลัวนั้นทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจสังเกตได้ชัดว่าเขากำลังทำหน้าเช่นใดอยู่
เพียงแต่น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นช่างดูอ้างว้างเหลือเกิน
"แล้วเจอกันนะโฮล์มส์" ข้าพเจ้ากล่าวก่อนจะปิดประตูให้เหมือนเดิมแล้วจากมา
ชั่วเวลาเดียวกันกันเสียงไวโอลินที่ดังขึ้นอีกครั้ง
แม้จะยังคงบรรเลงด้วยทำนองที่หงอยเหงาแต่กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นจางๆ
ราวกับเจ้าของใช้มันเพื่อบอกกล่าวข้อความถึงใครบางคน
...แน่นอน..คู่หู..
...แล้วพบกันใหม่...
the end part II
ผลงานอื่นๆ ของ yuhankung ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ yuhankung
ความคิดเห็น